กษัตริย์ซาโลมอนได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มั่งคั่งที่สุดในโลก และในพระคัมภีร์ยังกล่าวอีกว่าเขาเป็นผู้ที่มีสติปัญญามากที่สุดด้วยเพราะเขาได้ทูลขอสติปัญญาจากพระเจ้าเพื่อใช้ในการปกครองบ้านเมือง และพระเจ้าได้ประทานให้ (1พงศ์กษัตริย์3)
ด้วยสติปัญญาของซาโลมอน กษัตรย์ผู้นี้ยังได้เขียนหนังสือหลายเล่มที่เป็นแหล่งความรู้และปัญญา ทั้งหนังสือสุภาษิต และหนังสือปัญญาจารย์ ซึ่งวันนี้จะขอกล่าวถึงหนังสือปัญญาจารย์ครับ
หนังสือปัญญาจารย์กล่าวถึงชีวิตของมนุษย์ว่าล้วนเป็นอนิจจัง ตรากตรำทำสิ่งซ้ำๆเดิมๆและไม่มีความหมาย และหนังสือนี้ได้แฝงจุดมุ่งหมายที่ชี้ให้มนุษย์ดำรงชีวิตด้วยมีพระเจ้า
ถ้อยคำที่ซาโลมอนเขียนค่อนข้างมีความล้ำลึกและแตะต้องใจผม ขณะที่อ่านไปก็เรียนรู้ถึงความจริง (ถึงกับต้องแอบยิ้มมุมปาก) จึงอยากจะมาแบ่งปัน ลองดูกันในบางช่วงบางตอนครับ โดยขอยกตัวอย่างจากบทที่สองของหนังสือปัญญาจารย์ครับ
‘คนมีสติปัญญารู้ว่าจะเดินไปทางไหน แต่คนเขลาเดินในความมืด ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็ตระหนักว่า เคราะห์อย่างเดียวกันเกิดขึ้นแก่พวกเขาทุกคน ข้าพเจ้าเห็นว่าสติปัญญามีประโยชน์กว่าความเขลา เหมือนความสว่างมีประโยชน์กว่าความมืด ข้าพเจ้าจึงรำพึงว่า “เคราะห์ที่เกิดแก่คนเขลา ก็จะเกิดกับตัวข้าพเจ้าด้วย ถ้าเช่นนั้นแล้วข้าพเจ้าจะมีสติปัญญามากมายไปทำไมเล่า?” ข้าพเจ้าจึงรำพึงว่าเรื่องนี้ก็อนิจจังเหมือนกัน ‘ ปัญญาจารย์ 2:13-15 https://www.bible.com/bible/174/ECC.2.13-15
ซาโลมอนพูดถึงสติปัญญาและความโง่ในข้อที่ 13-15 และบอกว่าถึงแม้ตัวเขาหรือคนฉลาดจะมีสติปัญญารู้ว่าจะต้องไปทางไหนอย่างไร ขณะที่คนโง่คงจะไม่รู้ทางไป แต่สุดท้ายเคราะห์อย่างเดียวกันก็เกิดขึ้นกับทุกคนรวมถึงตัวเขาอยู่ดี เพราะฉะนั้นจะมีสติปัญญามากมายไปทำไม…
‘ข้าพเจ้าเกลียดการตรากตรำทั้งสิ้น ซึ่งข้าพเจ้าตรากตรำอยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ เพราะข้าพเจ้าจำต้องละการนั้นไว้ให้แก่คนที่มาภายหลังข้าพเจ้า แล้วใครจะไปทราบว่าเขาคนนั้นจะเป็นคนมีสติปัญญาหรือคนเขลา กระนั้นเขาก็ครอบครองการตรากตรำทุกอย่างของข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าได้ตรากตรำมาและใช้สติปัญญาทำภายใต้ดวงอาทิตย์ นี่ก็อนิจจังด้วย ข้าพเจ้าจึงหันกลับและท้อแท้ใจนักถึงเรื่องการตรากตรำทั้งสิ้น ซึ่งข้าพเจ้าตรากตรำมาภายใต้ดวงอาทิตย์ เพราะว่ามีคนที่ตรากตรำโดยใช้สติปัญญา ความรู้ และความชำนาญ แต่แล้วก็ละส่วนแบ่งของเขาให้อีกคนหนึ่งที่หาได้ตรากตรำทำเพื่อการนั้นไม่ นี่ก็อนิจจังด้วยและสามานย์ยิ่ง ‘ ปัญญาจารย์ 2:18-21 https://www.bible.com/bible/174/ECC.2.18-21
ข้อ 18-21 จะเห็นภาพชัดในแง่ของธุรกิจทีสุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนมือ โดยเฉพาะถ้าเป็นธุรกิจครอบครัวซื่งต้องส่งต่อให้คนรุ่นถัดไป ซาโลมอนรำพึงว่าเราจะรู้ได้ยังไงว่าคนที่มารับไม้ต่อจากเราเป็นคนมีสติปัญญาหรือเป็นคนเขลา ถึงแม้เจ้าตัวจะตรากตรำดูแลธุรกิจการงานของเขาอย่างเข้มงวด ใช้ทั้งสติปัญญา ความรู้และความชำนาญ แต่สุดท้ายเขาก็จำต้องละไว้ให้กับคนรุ่นต่อๆไป (ถึงแม้ว่าเขาจะเลือกคนรุ่นต่อจากเขาให้เป็นคนที่ไว้วางใจได้ แต่ก็ใช่ว่าคนรุ่นถัดจากนั้นจะดีเหมือนเดิม) อีกเรื่องที่ทำซาโลมอนท้อแท้คือแม้ตัวเองเป็นคนตรากตรำกระทำการงานไว้มากมาย ยังไงก็จะมีคนรุ่นถัดๆไปมารับส่วนแบ่งซึ่งคนเหล่านั้นไม่ได้ตรากตรำทำเองด้วยอยู่ดี
สุดท้ายเราได้อะไรจากการอ่านข้อความของซาโลมอน เราจะท้อแท้ วางมือ หรือรู้สึกว่าอยู่ไปก็ไม่ได้อะไร หรือเราจะตรากตรำมากขึ้นอีกเพื่อที่จะเอาชนะเคราะห์ (จากข้อ13-15) ที่จะเกิดขึ้นกับเรา หรือจะตรากตรำมากขึ้นอีกเพื่อชิงส่วนแบ่ง (ในข้อ18-21) มาเป็นของเราให้มากที่สุด
ซาโลมอนทิ้งคำตอบไว้ในช่วงท้ายของบทที่สอง ในข้อที่ 24-26
‘สำหรับมนุษย์นั้นไม่มีอะไรดีไปกว่ากินและดื่ม กับชื่นชมผลจากการตรากตรำของเขา นี่แหละข้าพเจ้าเห็นด้วยว่าเป็นมาจากพระหัตถ์ของพระเจ้า ด้วยถ้าไม่อาศัยพระองค์ แล้วใครจะกินได้เล่า? หรือใครจะชื่นบานได้? เพราะว่าพระเจ้าประทานสติปัญญา ความรู้ และความยินดีให้แก่คนที่พระองค์พอพระทัย แต่ส่วนคนบาปพระองค์ประทานภารกิจที่ต้องเก็บเกี่ยวและสะสม เพื่อให้แก่ผู้ที่พระเจ้าพอพระทัย นี่ก็อนิจจังด้วยคือ กินลมกินแล้ง’ ปัญญาจารย์ 2:24-26 https://www.bible.com/bible/174/ECC.2.24-26
นั่นคือจุดมุ่งหมายของหนังสือปัญญาจารย์ที่พูดถึงชีวิตคนเราหากไม่มีพระเจ้า ก็ไม่มีความหมาย เพราะว่าสิ่งที่มนุษย์ชื่นชอบนั่นก็คือการกินดื่มและชื่นชมผลงานต่างๆ แต่สิ่งเหล่านั้นจะมาจากไหนได้ถ้าไม่ใช่พระเจ้าประทานให้ทั้งสติปัญญา ความรู้และความชื่นชมยินดีต่างๆ ในขณะที่คนซึ่งพระเจ้าไม่พอพระทัย ก็คงจะต้องก้มหน้าก้มตาทำภารกิจต่างๆไปบนความอนิจจัง คือกินลมกินแล้ง ไม่มีความยินดี…
พระเจ้าประทานสติปัญญาและความยินดีให้กับผู้ที่พระองค์พอพระทัย