บันทึกการเดินทาง – JapanFirstTime Part.11 : Tokyo Disneysea

FB_IMG_1534348675806.jpg

วันที่สามเราไปเที่ยว Tokyo Disneysea กันครับ

Disneyland หรือ Disneysea

เนื่องจากเวลาเรามีน้อย เราจัดโปรแกรมสำหรับ Disney หนึ่งวัน ดังนั้นจึงต้องเลือกว่าจะไปที่ไหนดี ที่เราทราบคือธีมของ Disneyland จะออกแนวน่ารักเด็กๆ ส่วน Disneysea จะเป็นแบบ Adventure เน้นเครื่องเล่นที่มีความตื่นเต้นมากกว่า และด้วยพวกเราได้เคยไปเที่ยวด้วยกันที่ Hongkong Disneyland กันมาแล้ว ได้ดูพาเหรดและพลุกันแล้ว และคิดว่า Disneysea ก็มีเฉพาะที่โตเกียวด้วย ดังนั้นรอบนี้จึงตัดสินใจเลือกที่ Disneysea เน้นไปเล่นเครื่องเล่นกันดีกว่าครับ

1534348381091
Tokyp Disneysea

Disney Fastpass

ถึงแม้จะอยู่กันเต็มๆวันแต่ใช่ว่าเราจะได้เล่นเครื่องเล่นกันครบง่ายๆเพราะแต่ละอย่างคนต่อคิวเยอะมาก แต่ด้วยสิ่งที่เรียกว่า Disney Fastpass จะช่วยให้เราสามารถเล่นบางเครื่องเล่นได้โดยไม่ต้องต่อคิว โดยเจ้า Fastpass (FP) นี้จะเป็นบัตรให้เรากดตามเครื่องเล่นที่เราสนใจ (จะมี FP ให้กดเฉพาะเครื่องเล่นที่คนรอเยอะๆนะครับ) เมื่อกดแล้วบัตรจะบอกว่าเราสามารถกลับมาเล่นเครื่องเล่นนี้ได้ในเวลากี่โมง เมื่อถึงเวลานั้นเราก็ถือบัตรนี้มาเข้าเล่นเครื่องเล่นนี้ได้โดยไม่ต้องรอคิว จะมีช่องสำหรับ FP ให้เราเดินเข้าไปได้เลย ส่วนช่วงเวบาที่ยังไม่ถึงเวลาของเครื่องเล่นนี้ เราก็ไปทำอย่างอื่นได้ครับ ทั้งนี้ในบัตร FP จะบอกด้วยว่าเราสามารถกด FP ครั้งต่อไปได้ตอนกี่โมง (ส่วนมากต้องเว้น 1-2 ชม.ครับ)

20180815_224445.jpg
หน้าตาของ Fastpass ซึ่งจะบอกเวลาที่เราจะกลับมาเล่น แล้วบอกเวลาที่จะกด FP ในครั้งถัดไปครับ

การเดินทาง

เราออกเดินทางกันตั้งแต่เวลา 7.00 น. ไปลงใต้ดินที่สถานี Naka-okachimachi เพื่อไปยังสถานี Hatchobori ขึ้นรถไฟ JR ไปลงที่ Maihama และต่อด้วย Disney Resort Line ซึ่งมี 4 สถานีวิ่งเป็นวงกลม โดย Disneysea อยู่สถานีสุดท้าย

20180729_080037.jpg
บนรถไฟก็ตกแต่งได้บรรยากาศ Disney แล้ว

Note : ตรงนี้เพื่อความรวดเร็วแล้วไม่ต้องซื้อบัตรขึ้นรถไฟหลายครั้ง (เพราะคนเยอะและเรารีบ) เราซื้อบัตร Suica มัดจำ 500 เยนและเติมเงิน 1,500 เยน ซึ่งสามารถใช้ในการจ่ายได้ทั้ง JR และ Disney Resort Line  เวลาคืนบัตรเราไปคืนที่สนามบินได้ครับเป็นตู้รับ จะได้เงินมัดจำคืน 500 เยน แต่ว่ามีค่าคืน 220 เยน ดังนั้นควรใช้ให้เหลือน้อยที่สุด เช่น ถ้ามีเงินในบัตรเหลือรวมมัดจำ 1,000 จะได้คืน 1,000-220 = 780 เยน แต่ถ้าเหลือ 540 ก็ได้คืน 500 เยนเป็นต้นครับ นอกจากจะใช้จ่ายค่ารถไฟแล้วก็สามารถนำไปซื้อของอย่างอื่นที่รับบัตร Suica ด้วยเช่นกัน

เข้า Park

เราเห็นอาการมาตั้งแต่บนรถไฟแล้วว่าคนเดินทางมา Disney เยอะมาก โดยในวันนี้ park เปิดตั้งแต่ 8.00 น. (เราสามารถ check มาก่อนนะครับว่าแต่ละวันเวลาเปิด-ปิดกี่โมง http://www15.plala.or.jp/gcap/disney/ ลองศึกษาดูจะมีการพยากรณ์อากาศและคาดการณ์จำนวนคนที่เข้า park ในแต่ละวันด้วยครับ มีทั้ง Disneyland และ Disneysea) เมื่อลงจากรถไฟแล้วก็มาต่อแถว เตรียมบัตรที่เราจองและ print มา ใช้ QR code ในการสแกนเข้าครับ (คนเยอะเห็นแล้วตกใจครับ)

 

ใช้เวลาไม่นานครับก็เข้าประตูมาได้ วันนี้เราจะอยู่ใน Disneysea กันทั้งวัน จะเป็นอย่างไรและเล่นเครื่องเล่นอะไรกันบ้าง ตอนหน้ามาว่ากันต่อครับ

Advertisement

บันทึกการเดินทาง – JapanFirstTime Part.10 : ของหายได้คืน

สองตอนที่ผ่านมาเล่าถึงการท่องเที่ยวในวันที่2ของทริปญี่ปุ่น หลังจากเที่ยวมาตลอดทั้งวันแล้วมาจบที่การกินซูชิร้าน Midori ในย่าน Shibuya ผมและภรรยามีเหตุให้ต้องกลับไปที่ร้าน Blue Bottle Coffee อีกครั้งสาเหตุเพราะนึกขึ้นได้ว่าลืมของครับ!!!

กระเป๋าตังค์

ก่อนอื่นต้องย้อนไปตอนเช้าที่เราไปกินราเมนกันที่ร้านตรงข้ามโรงแรม ช่วงกำลังจะจ่ายเงินน้องของเราคนนึงนึกว่าลืมเอากระเป๋าตังค์มาจากห้องจึงยืมคนอื่นจ่ายไปก่อนแล้วกลับไปหาที่ห้องอีกครั้ง ปรากฏว่าหาไม่พบครับ

สุดท้ายจึงกลับมาถามที่ร้านราเมนอีกครั้งก็พบว่าหล่นอยู่ในร้านครับซึ่งทางพนักงานก็เก็บเอาไว้ให้อย่างดี

กระเป๋าใหม่

กลับมาที่ช่วงบ่ายหลังจากที่เราช้อปปิ้งกันที่ Takeshita Street คุณภรรยาซื้อกระเป๋ามาใบหนึ่งแล้วเราก็มานั่งกันที่ร้าน Blue Bottle และเนื่องจากคนเยอะเราจึงต้องนั่งกระจายกันก็ทำให้ดูข้าวของกันตกหล่น มานึกขึ้นได้อีกทีตอนกำลังจะถึงคิวกินซูชิครับ

จากประสบการณ์ของน้องในช่วงเช้าทำให้เรายังมั่นใจได้ระดับหนึ่ง เราจึงไปนั่งกินซูชิกันก่อนแล้วจึงจะค่อยกลับไปดูที่ร้านกาแฟครับ

ก็ปรากฏว่าเป็นอย่างที่เราคิดครับ เมื่อเรากลับไปถึงร้านกาแฟ แจ้งพนักงานที่ร้านว่าเราลืมกระเป๋าไว้ (เราเตรียมรูปถ่ายไว้สำหรับยืนยันกับทางร้าน) ซึ่งทางร้านก็ไปนำมาให้จากหลังร้าน โดยไม่ได้เรียกดูอะไรครับ

ข้อคิดที่ได้

1)เป็นประสบการณ์ให้เราทราบว่าสังคมญี่ปุ่นเป็นสังคมที่ปลอดภัยและเราไว้วางใจได้ในระดับสูงครับ

2)แต่ยังไงก็ตามไปต่างบ้านต่างเมืองก็ต้องระมัดระวังให้มากอยู่ดีครับ แม้ว่าเราจะต้องทำอะไรแข่งกับเวลาหรือจะเที่ยวจนเหนื่อย แต่ถ้าเกิดการสูญหาย ความสูญเสียก็ไม่ใช่น้อยครับ ในเคสนี้ทรัพย์สินในกระเป๋าตังค์ กับ กระเป๋าใหม่ทั้งใบ ก็น่าเสียดายอยู่นะครับ หรือกรณีอื่นๆเช่นเอกสารสำคัญ/passport ตั๋วรถ สินค้าที่ซื้อมาใหม่ๆก็ล้วนมีมูลค่าและมีความสำคัญทั้งสิ้นครับ

1534002356513.jpg
กลัวของหายก็ต้องเอากระเป๋ามาไว้ข้างหน้าแบบนี้แหละครับ (ไม่ใช่ใบนี้นะครับที่หาย)

ตอนหน้ามาต่อวันที่ 3 ไปเที่ยว Tokyo Disneysea กันครับ

บันทึกการเดินทาง – JapanFirstTime Part.9 : Day2 Omotesando-Shibuya

ตกบ่ายๆหลังจากเดินเที่ยว-กิน-ช้อปใน ย่าน Harajuku/Takeshita Street พวกเราเดินต่อเนื่องมาแถวย่าน Omote-sando ซึ่งเป็นย่านหรู มีร้านค้าแบรนด์เนมมากมาย ซึ่งตรงนี้เราจะไปดื่มกาแฟกันครับ

พวกเราแยกกันเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งไปยังร้าน Cafe Kitsune ส่วนอีกกลุ่มซึ่งมีผมด้วยมาแวะที่ร้าน Blue Bottle coffee วันนี้ดื่มกาแฟ cold brew ครับ

1533919530107.jpg
บรรยากาศในร้านเปิดให้เห็นการชงกาแฟ
1533919487613.jpg
cold brew เย็นๆในแก้วที่มีสัญลักษณ์ของร้าน

นั่งพักที่ร้านกาแฟสักครู่พวกเราฝ่าฝนลงใต้ดินอีกครั้งเพื่อนั่งรถไฟ 1 สถานีไปที่ Shibuya เรามองหาห้าง Mark City Shibuya แล้วขึ้นไปชั้น 4 เพื่อมากินซูชิที่ร้าน Midori Sushi ซึ่งต้องใช้เวลารอคิวพอสมควรเลยครับ

1533920229953.jpg
ร้าน Midori Sushi

เราได้นั่งหน้าเคาเตอร์ทำให้ได้เห็นเชฟปั้นซูชิกันสดๆ เชฟชาวญี่ปุ่นสุภาพ เป็นกันเองและมีพลังตลอดเวลา เราเลือกสั่งกันคนละชุด รอไม่นานก็ได้กินกันโดยไม่ลืมที่จะถ่ายรูปเก็บไว้ (ขอบคุณรูปจากกล้องของน้องที่ไปด้วยกันนะครับ รูปสวยเลย) สรุปได้ว่าปลาสด คำใหญ่ อร่อย คุ้มค่าราคาซึ่งไม่แพงเลยครับ

หลังจากจบมื้ออาหารพวกเราแยกกันอีกครั้ง บางคนกลับไป Ueno บางคนไป Akihabara ส่วนผมและภรรยามีเหตุให้ต้องกลับไปที่ร้านกาแฟ Blue Bottle อีกครั้ง (เดี๋ยวมาเล่าให้ฟัง) และกลับมาเดินซื้อของในย่าน Shibuya ต่อค่อยเดินทางกลับที่พักครับ เป็นอันจบโปรแกรมวันที่ 2

บันทึกการเดินทาง – JapanFirstTime Part.8 : Day2 Asakusa-Harajuku-Takeshita Street

1533831719721

เราเริ่มต้นวันที่สองของทริปตั้งแต่เวลาเช้าครับ กลุ่มของเรานัดพบกัน 7.30 น. ก่อนจะเดินไปกินที่ร้านราเมนเปิด 24 ชม. ซึ่งอยู่ตรงข้ามโรงแรม เช้าวันนี้ฝนตกครับ

20180728_075800
มีร้านเปิด 24 ชม. ใกล้ๆก็สะดวกดีครับ ตอนเช้าบรรยากาศยังเงียบอยู่

ตั้งแต่วันที่2เป็นต้นไปเราแบ่งกันเที่ยวอิสระ กลุ่มใหญ่ 32 คนของเราถูกแบ่งกันออกเป็น 2-3 สายซึ่งก็แล้วแต่ใครจะไปไหน หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว เราเดินทางไป Asakusa ด้วยรถไฟสาย Ginza นั่งสุดสายใช้เวลาไม่นานครับ

มาถึง Asakusa สมาชิกของเราก็เข้าไปด้านในวัด Sensoji ส่วนผมกับภรรยาไม่ได้เข้าไปก็มาแวะที่ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยว (Asakusa Culture Tourist Information Center) ซึ่งอยู่ตรงข้ามวัดและมีจุดชมวิวที่ชั้น 8 จริงๆมีร้านกาแฟด้วยแต่ตอนไปยังไม่เปิดครับ

20180728_091818
วัด Sensoji จากชั้น 8 ในเช้าวันฝนตก
20180728_091831.jpg
จากจุดนี้จะเห็น Tokyo Sky Tree ซึ่งโดนหมอกบังเหลือแต่ฐานครับ

สักพักเราก็มาพบกับเพื่อนๆอีกครั้งและเดินหาของกินบนถนนนากามิเสะ (Nakamise) มีอะไรอร่อยๆหลายอย่างครับ ตอนนี้คนเริ่มมากันเยอะแล้ว

จบจากที่ Asakusa เราลงรถไฟสาย Ginza อีกครั้งไปลงที่ Omote-sando แล้วเปลี่ยนสายเล็กน้อยไปที่ เพื่อ Meiji-jingumae “Harajuku” เพื่อจะแวะไปศาลเจ้าเมจิครับ

1533865733245.jpg
ด้านหน้าศาลเจ้าเมจิ
1533865723815.jpg
ทางเดินเข้าไปด้านใน ต้นไม้ร่มรื่นมาก

ตรงนี้เพื่อนๆเราเข้าไปด้านใน แล้วจะนัดพบกันอีกครั้งเพื่อไปเดินเที่ยวที่ Takeshita Street ซึ่งอยู่ไม่ไกล ผมกับภรรยาจึงล่วงหน้าไปก่อน เราไปซื้อของกันใน Daiso ครับได้มาหลายอย่าง ช่วงเวลานี้ฝนตกหนักสลับเบาครับ

FB_IMG_1533831847947
Takeshita Street

พอเพื่อนๆมาถึงก็ได้เวลาช้อปปิ้งครับ ตั้งแต่เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า เกม นาฬิกาตรงนี้มีครบ และมีโอกาสผ่านไปชิม Marion Crapes ชื่อดังด้วยครับ

ตลอดช่วงเช้าถึงเที่ยงๆเราใช้เวลาที่ Takeshita Street/Harajuku กัน ช่วงบ่ายจะไปดื่มกาแฟและกินซูชิ เดี๋ยวตอนหน้ามาต่อครับ

1533865720067.jpg
Day2 ยังไม่หมด มาต่อตอนหน้าครับ

บันทึกการเดินทาง – JapanFirstTime Part.7 : ที่พักของเรา โรงแรม Sotetsu Fresa Inn Ueno-Okachimachi

FB_IMG_1533562733634.jpg

ตลอด 3 คืนของทริปท่องเที่ยวญี่ปุ่น เราพักที่ โรงแรม Sotetsu Fresa Inn Ueno-Okachimachi อยู่ในย่าน Ueno ครับ

ความสะดวกในการเดินทาง

h-17-ueno.gif

ที่พักของเราตั้งอยู่ในตำแหน่งที่สะดวกต่อการเดินทางด้วยรถไฟเพราะอยู่บนสถานีรถไฟถึงสามสายได้แก่

สถานี Ueno-okachimachi (E09) สาย Oedo Line ซึ่งสามารถขึ้นรถไปยังสถานี Shinjuku-nishigushi (E01)

สถานี Ueno-hirokoji (G15) สาย Ginza Line ซึ่งสามารถไปสุดสายที่ย่าน Asakusa (G19) และไปสุดสายอีกทางหนึ่งที่ Shibuya (G01) นอกจากนี้ยังผ่าน Omote-sando (G02) ด้วย

สถานี Naka-okachimachi (H16) สาย Hibiya Line ซึ่งสามารถไปยัง Akihabara (H15) แค่สถานีเดียว รวมถึงสามารถไปที่สถานี Hatchobori (H11) เพื่อต่อ JR สาย Keiyo Line ไปยังสถานี Maihama และต่อเข้า Disneyland/Disneysea ด้วย Disney Resort Line

ซึ่งแต่ละสถานที่ก็สอดคล้องกับแผนการเที่ยวที่วางแผนมาจากไทย นอกจากนี้ยังใกล้กับสถานี Keisei-ueno ปลายทางของ Keisei Skyliner ที่เราใช้บริการมาจากสนามบินนาริตะและจะใช้ในวันเดินทางกลับด้วยครับ

Note : แผนที่เต็มของรถไฟโตเกียวครับ Tokyo Metro Subway Map

สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง

โรงแรมอยู่ไม่ไกลจากสวนอุเอะโนะซึ่งให้บรรยากาศธรรมชาติและยังประกอบด้วย National Museum ทั้งหลาย อีกด้านหนึ่งก็เป็นตลาด Ameyoko ซึ่งคึกคักด้วยสารพัดทั้งของใช้และของกิน ในขณะเดียวกับรอบๆโรงแรมก็ยังมีร้านอาหาร (ซึ่งหลายแห่งเปิด 24ชม.) และแหล่งช้อปปิ้งเช่นตึกทาเคยะ (ตึกม่วง) เป็นต้น

สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโรงแรม

การเข้าพักจะไม่มีอาหารเช้าให้ ส่วนที่ lobby ซึ่งอยู่บริเวณชั้น2 จะมีเครื่องซักผ้า ตู้กดน้ำและน้ำแข็งบริการ ฝ่ายต้อนรับเปิดตลอด 24 ชม. มีที่นั่งพักผ่อนเล็กน้อยและมี Wifi มี Amenities พวกครีมล้างหน้า โกนหนวด mask หน้า ผงอาบน้ำ ฯลฯ ก็ให้มาหยิบใช้ได้ที่นี่ จะขึ้นห้องพักต้องทาบบัตรที่ลิฟท์ก่อนกดชั้น

ห้องพักซึ่งไม่กว้างมากก็ถือว่าให้อุปกรณ์ครบ ในห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำตามสไตล์ญี่ปุ่น สบู่ ยาสระผม ครีมนวดผม ยาสีฟัน-แปรงสีฟัน หมวกคลุม ชุดโกนหนวด ไดร์เป่าผมมีให้ ด้านนอกมีชุดนอนและรองเท้าแตะอย่างละ 2 ชุด ไม่มีน้ำดื่มให้ครับ

ภาพรวมถือว่าดีครับ แม้ว่าพื้นที่จะน้อย แต่เราก็นอนหลับสบายไม่พลุกพล่าน ปลอดภัย สะอาด พนักงานบริการดี (เราฝากกระเป๋าทั้งขามาและก่อนกลับก็ได้รับบริการอย่างดี) แม่บ้านทำห้องทุกวันและสะอาด เติมของให้ใหม่ เจอพี่น้องคนไทยเพียบครับ

1533397568930.jpg
เราฝากกระเป๋าทั้งขามาและก่อนกลับ ได้รับบริการที่ดีครับ

แผนที่โรงแรม

https://goo.gl/maps/k6BpdE7RetT2

ประมาณนี้ครับสำหรับที่พักเรา ตอนหน้ามาต่อโปรแกรมวันที่สองครับ

บันทึกการเดินทาง – JapanFirstTime Part.6 : กินย่าน Shinjuku ร้าน Uonchu-shokudou และ Jiromaru

กลับจากเที่ยวฟูจิรถบัสมาส่งเราที่ Shinjuku ช่วงสามทุ่ม พวกเราทั้ง 27 คนก็แยกย้ายกันอิสระครับ โดยโปรแกรมหลักๆคือหาร้านกินซึ่งแต่ละคนก็เล็งๆร้านที่น่าสนใจมาเรียบร้อย ในส่วนของผมเลือกหาร้านกินในย่าน Shinjuku เลย ใกล้ๆกับสถานีรถไฟครับ

ข้าวด้ง Uonchu-shokudou

FB_IMG_1533565251015.jpg
ป้ายร้าน No Fish No Life

ร้านแรกที่เรามากินเป็นร้าน Uonchu-shokudou ร้านนี้อยู่ใต้ดินครับต้องเดินลงบันไดมา โดยจะให้เราสั่งอาหารพร้อมทั้งชำระเงินผ่านตู้อัตโนมัตินะครับ แล้วจึงเข้ามารออาหารในร้าน เมนูจะเป็นข้าวด้งและอาหารชุด เมนูที่พวกเราสั่งกันก็มีหลากหลายครับ หลักๆคือข้าวหน้าปลาดิบ อื่นๆก็มีข้าวหน้าไก่ทอด บางคนสั่งเป็นเมนูเซตปลาย่าง ฯลฯ อร่อยครับ

IMG_20180806_210732.jpg
บรรยากาศร้าน (ภาพจาก Twitter)
1533562823277
ข้าวด้งหน้าปลาดิบรวม

แผนที่ร้าน Uonchu-shokudou

https://goo.gl/maps/rvkXs2FaEWT

เนื้อย่าง Jiromaru

1533565962067.jpg
บรรยากาศหน้า เรายืนกินตรงที่แคบๆนั้นแหละครับ

เดินจากร้านแรกไม่ไกลนัก ข้ามมาอีกฝั่งถนนเราต่อกันที่ร้านเนื้อย่าง Jiromaru เป็นร้านเนื้อย่าง A4-A5 ที่ขายในราคาไม่แพง เป็นสไตล์แบบยืนกินรับลูกค้าได้ไม่เกิน 10 ที่ครับ

เนื่องจากเมนูเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด ทางร้านจึงเสนอว่าจะจัดเนื้อให้เราอย่างละชิ้นดีไหม เราก็ตอบรับและได้ลองชิมคนละ 5 ชิ้น อร่อยและได้บรรยากาศไปอีกแบบครับ

1533562785787.jpg
เนื้อถูกจัดมาเป็นชิ้นขนาดพอดี ย่างบนเตาไฟส่วนตัว
1533565966598.jpg
เนื้อชุ่มฉ่ำ เต็มๆคำ

แผนที่ร้าน Jiromaru

https://goo.gl/maps/Tpe2jcFXsp72

กินเสร็จสองร้านเกือบเที่ยงคืนรีบลงรถไฟใต้ดินกลับไปที่ Ueno-Okachimachi ที่พักของเรา พักผ่อนเตรียมลุยวันที่สองต่อครับ

บันทึกการเดินทาง – JapanFirstTime Part.5 : Mt.Fuji

IMG_20180727_155113_090.jpg

เราเดินทางไปฟูจิด้วย Expressway Bus ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ระหว่างทางคนขับและสื่อบนรถพูดเกือบตลอดทางครับ ไม่รู้ว่าให้ข้อมูลอะไร และแต่ละป้ายแม้จะไม่มีคนขึ้นหรือลงคนขับแกก็จอดทุกป้ายครับ แล้วก็เปิดประตูด้วย รับผิดชอบมากๆครับ

ก่อนเดินทางมามีประเด็นให้พูดถึงกันอยู่ 2 ประเด็นคือ 1)ไปฟูจิเดือนกรกฎาคมเนี้ยนะ ไปดูดินกับหญ้าหรือเปล่า 2)ไปแล้วจะร้อนเป็นลมไหม เพราะว่าช่วงสัปดาห์ก่อนหน้านี้ประเทศญี่ปุ่นเจอสภาวะคลื่นความร้อน อุณหภูมิสูงถึง 36-40 องศา มีคนเสียชีวิตไปหลายคน

ประเด็นแรกก็ต้องบอกว่าเราไปดูดินกับหญ้าจริงๆครับ เป็นฟูจิที่เราไม่ได้เห็นตามสื่อที่จะมีหิมะอยู่บนยอด แต่ด้วยความใหญ่โต ผมคิดว่าก็ประทับใจแล้วครับ

20180727_133141.jpg
นั่งอยู่บนรถพอเห็นฟูจิโผล่มาก็ดูใหญ่จริงๆครับ

ส่วนประเด็นเรื่องสภาพอากาศต้องบอกว่ากลุ่มเรามาถูกวันจริงๆครับ อุณหภูมิทั้งวันอยู่แถว 21-25 องศา บางคนถึงกับบ่นหนาวด้วยซ้ำเพราะแต่งตัวมาเตรียมร้อนเต็มที่

เราใช้เวลาที่ Kawaguchiko Natural Living Center ราว 2 ชม. ถ่ายรูป ดื่มกาแฟ กิน softcream เดินเล่น ฯลฯ ก็กลับมารอรถบัสเตรียมกลับเข้าโตเกียวครับ

1533470340103.jpg
Softcream กับฟูจิเป็นฉากหลังครับ

Note : จากศูนย์นั่งท่องเที่ยวเรานั่งรถนำเที่ยวสายสีแดงมาลงป้ายสุดท้าย (22) จ่ายค่าเดินทางบนรถตอนก่อนลง 480 เยน ขากลับอีก 480 เยน รถมีทุก 15 นาที รอบสุดท้ายหมด 17.30 น. ครับ ถ้ามีเวลาจะลองแวะที่ท่องเที่ยวอื่นๆระหว่างทางก็น่าสนใจครับ

ขากลับเราจองรถบัสรอบ 18.25 น. แต่กว่าจะได้ขึ้นรถก็เกือบหนึ่งทุ่มครับ ถามคนแถวนั้นบอกว่าขากลับเลทประจำครับ ส่วนขาเข้าโตเกียวก็การจราจรติดขัดด้วย หลับๆตื่นๆกันไป เดี๋ยวถึงแล้วไปกินข้าวกัน ตอนหน้ามาเล่าต่อครับ

20180727_170908.jpg
บรรยากาศที่ศูนย์นักท่องเที่ยว ก็ยังมีฟูจิเป็นฉากหลังครับ

บันทึกการเดินทาง – JapanFirstTime Part.4 : Miss!!!

บันทึกการเดินทางของเรามาถึงการเดินทางเข้าเมืองด้วยรถไฟ Keisei Skyliner เพื่อเก็บกระเป๋าที่โรงแรมและเดินทางไป Shinjuku เพื่อนั่งรถบัสไปฟูจิครับ

Nippori! Nippori!!

002.jpg
ป้ายสถานี Nippori (ภาพจาก Internet)

การรับตั๋วรถไฟ Skyliner นั้นสามารถรับได้ภายใน Terminal โดยใช้ตั๋วที่ซื้อมาจากไทยพร้อมยื่นพร้อมกับ Passport เราจะได้รับการ์ดเพื่อเข้าสู่ชานชาลา และเนื่องจากกลุ่มของเราทยอยแบ่งกันไปรับตั๋วทำให้ได้ที่นั่งแยกกันคนละตู้ บางกลุ่มตู้ 1 ตู้ 3 ตู้ 7-8 ส่วนตัวผมอยู่ตู้ 7 ครับ เราได้รถรอบ 9.17 น. รถมาตรงเวลาและคาดกว่าจะถึง Ueno เวลา 9.59 น. ครับ

การเดินทางด้วยรถไฟ Skyliner ก็ราบรื่นและรวดเร็วดีครับ บางคนถ่ายรูป บางคนกินขนม บางคนหลับ ไม่นานวิวข้างทางก็เริ่มเปลี่ยนจากชนบทเป็นชุมชมเมืองและตึกสูง

Nippori! Nippori!

แม้จะเป็นรถด่วนสายตรงแต่ก่อนจะถึงสถานีปลายทาง Ueno รถไฟ Skyliner จะจอดที่อีกสถานีคือ Nippori (ห่างจากสถานี Ueno ราว 3 นาที) โดยมีเสียงจากระบบแจ้งว่าถึงสถานีเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า Nippori! Nippori!

ลงผิดอ่ะ…ลงมาแล้ว…

ข้อความจากสมาชิกของเราเด้งขึ้นมาในไลน์กลุ่มเพียงเสี้ยววินาทีหลังรถไฟปิดประตูและเคลื่อนออกจากสถานี Nippori

ปรากฏว่ามีพวกเราในตู้ 3 ลงผิดสถานีครับ แล้วเป็นการลงผิดแบบไม่สมบูรณ์ด้วยคือมี 6 คนลงไปที่ชานชาลา ส่วนอีก 4 คนอยู่บนรถไม่ทันลงแต่ประตูปิดเสียก่อน

การสื่อสารในไลน์จึงเกิดขึ้นเป็นการให้คำแนะนำว่าจะตามมาถึงปลายทางได้อย่างไร มีการหาเส้นทางจากใน app ส่งให้

โชคดีครับที่หลังจากนั้นมีรถของ Keisei Line ตามมาอีกคันทำให้ทั้ง 6 คนสามารถตามมาที่ Ueno ในอีกไม่กี่นาทีให้หลัง งานนี้ทำเอาทุกคนจำชื่อสถานี Nippori กันได้แม่น

11.45!!!

หลังจากรวบรวมสมาชิกครบ 27 คน เราทยอยเดินพร้อมลากกระเป๋ากันมาที่โรงแรม Sotetsu Fresa Inn Ueno-Okachimachi ซึ่งเป็นที่พักของเราตลอด 3 คืน ใช้เวลาเดินประมาณ 4-5 นาทีครับ เมื่อมาถึงก็ฝากกระเป๋าแล้วเตรียมตัวออกเดินทางเพื่อไปสถานีรถบัสที่ Shinjuku ครับ

ด้วยโรงแรมอยู่ใกล้สถานีรถไฟใต้ดินและบัตร Metro Pass ที่เตรียมมาทำให้การเดินทางสะดวก เราเดินทางมาถึง Shinjuku ทันเวลา แม้ว่าจะต้องเดินหา Exit จากใต้ดินรวมถึงหาอาคารที่ตั้งของ Expressway Bus Terminal อยู่สักครู่ แต่เราก็มาถึงจุดขึ้นรถ เหลือเวลาเข้าห้องน้ำและซื้อของกินได้เล็กน้อยก่อนถึงเวลารถออก 11.45 น.

20180804_224728

แต่ยังจำเพื่อนของเราอีก 5 คนที่แยกไปตอนสนามบินได้ไหมครับ ปรากฏว่าเมื่อใกล้ถึงเวลารถบัสออก เราก็ยังไม่เจอ สุดท้ายมาไม่ทันเวลารถออกครับ!!! พอถึง 11.45 น. คนขับปิดประตูแล้วออกรถทันที สาเหตุที่มาไม่ทัน เพราะสมาชิกของเราที่บินเดี่ยวมากับอีกสายการบินหนึ่งนั้นเจอ Delay ครับ

ที่น่าเจ็บใจคือพอรถบัสขับลงมาจากจุดจอดรถชั้น 4 ออกจากอาคารแล้วมาติดไฟแดง เราเห็นเพื่อนของเรากำลังรีบเดินอยู่พอดี แหม…พลาดไปนิดเดียว

สุดท้ายเพื่อนเราต้องนั่งรถไฟตามไปครับเพราะว่ารถบัสรอบถัดๆไปก็เต็มหมดเหมือนกัน

Note : รถบัสที่เรานั่งไปฟูจิมีการกำหนดที่นั่ง โดยมีบางที่นั่งจะระบุเป็น women seat ครับ นั่งได้เฉพาะผู้หญิงเท่านั้น ประมาณ 8 ที่นั่งในแต่ละคันครับ

ไว้เราพบกันตอนถัดไปครับ

บันทึกการเดินทาง – JapanFirstTime Part.3 : แข่งกับเวลา

20180727_060734

มาติดตามทริปญี่ปุ่นไม่ง้อทัวร์ของเรากันต่อครับ วันนี้พูดถึงการเดินทางวันแรก

พบกันที่สนามบิน

เรานัดพบกันที่สนามบินสุวรรณภูมิเวลา 21.30 น. ณ จุดนี้มีสมาชิกทั้งสิ้น 31 คน เพราะอีกคนเพิ่งมาจองภายหลัง จำเป็นต้องนั่งอีกสายการบินหนึ่งไปพบกันที่สนามบินนาริตะ และถึงแม้จะเป็นวันพฤหัสบดีซึ่งทุกคนต้องทำงานเลิกห้าโมงและเป็นวันก่อนวันหยุดยาว แต่งานนี้ทุกคนก็มาถึงก่อนเวลานัด สามารถ check in และผ่านกระบวนการของ ตม. อย่างราบรื่น

note : 1)การผ่านจุดตรวจค้นขาออกของสนามบินสุวรรณภูมิ เราต้องถอดรองเท้าด้วยครับ 2)ใบตรวจคนเข้าเมืองใบเล็กๆสีขาวไม่ต้องเขียนแล้วครับ และกระบวนการต่างๆก็ทำผ่านเครื่องอัตโนมัติ ใช้เวลาไม่นานครับ

ซักซ้อมทำความเข้าใจ

ด้วยงานนี้เราไม่ได้ไปกับทัวร์ดังนั้นจึงไม่มีคนที่จะมาคอยอำนวยความสะดวกหรือนัดหมายให้กับเรา เราจึงต้องซักซ้อมความเข้าใจกันก่อนครับ

มีความท้าทายหลายจุดที่เราต้องเผชิญครับ เป้าหมายสำคัญที่สุดคือเราไม่อยากตกรถบัสไปฟูจิรอบเวลา 11.45 น. เพราะเราจองเวลาและที่นั่งไปจากไทยเรียบร้อยแล้ว และการซื้อใหม่สำหรับ 32 คนก็ไม่ง่ายเช่นกัน เราจึงพลาดไม่ได้

ก่อนอื่นต้องภาวนาให้เครื่องไม่ดีเลย์ครับ ตามเวลาคือ 7.45 น. เราเผื่อเวลาให้กระบวนการ ตม. และรับกระเป๋าราวชั่วโมงครึ่ง และเล็งจะขึ้นรถไฟ Skyliner รอบ 9.27 น. (ดูเวลาไปจากไทย) ใช้เวลา 39 นาที เพื่อไปถึงสถานี Ueno และเดินไปที่พักอีกราว 500 เมตร ก่อนฝากกระเป๋าให้เรียบร้อยภายใน 10.30 น. จากนั้นเดินทางลงรถไฟใต้ดินไปที่สถานี Shinjuku เพื่อขึ้นรถบัส ตามแผนเราจะเหลือเวลาก่อนรถบัสออกประมาณ 30 นาทีจะได้ซื้อของกินกัน จะสังเกตว่าทุกลำดับโปรแกรมมีเวลาจำกัดไว้ทั้งสิ้น ก่อนขึ้นเครื่องเราจึงนัดกันหน้า gate เพื่อนัดหมาย และนี่คือข้อความบางส่วนครับ

  • เขียนใบ ตม. และศุลกากรของญี่ปุ่นให้ถูกต้อง เรียบร้อย (https://chillchilljapan.com/fill-japan-immigration-form/)
  • เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนเครื่องลง
  • ลงแล้วอย่าเพิ่งแวะเข้าห้องน้ำ รีบไปผ่าน ตม.ก่อน
  • ไปเข้าห้องน้ำช่วงรอกระเป๋า
  • จัดทีมบางส่วนช่วยรับกระเป๋าจากสายพาน (มีการเตรียมริบบิ้นให้ผูกไว้เพื่อใช้เป็นจุดสังเกตสำหรับกระเป๋ากลุ่มเรา)
  • รวบรวม passport และเอกสารเพื่อรับตั๋วรถไฟ
  • พร้อมกันที่ชานชาลารถไฟเข้าเมืองภายใน 9.27 น.

JAL718 BKK-NRT 23.30-7.45

20180727_040008.jpg
อาหารบนเครื่องขาไปเป็นข้าวต้มและอื่นๆ เสิร์ฟก่อนเครื่องลงประมาณ 2ชม.ครึ่งครับ

เราออกเดินทางตรงเวลาครับ การเดินทางเป็นไปด้วยความราบรื่น การบริการดีเป็นไปตามมาตรฐาน ถึงที่หมายตรงเวลา ทุกคนปฏิบัติตัวตามที่ได้นัดหมายกันไว้ การผ่าน ตม. และรับกระเป๋าก็ผ่านไปได้ด้วยดี ทุกคนได้พักเข้าห้องน้ำ แปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้า และไปรับตั๋วรถไฟพร้อมที่จะเข้าเมือง สุดท้ายเราได้นั่งรถไฟ Skyliner รอบ 9.17 น. ครับ เร็วกว่าเวลาที่ดูมาครับ

ณ จุดนี้เราแยกกันเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่ง 27 คนจะนั่งรถไฟเข้าเมืองไปฝากกระเป๋าที่โรงแรม อีกกลุ่มหนึ่ง 4 คนจะรอสมทบกับอีก 1 คนที่ตามมาแล้วไปพบกันที่สถานีรถบัส ไม่ต้องเก็บกระเป๋าเพราะจะไปพักที่ฟูจิ 1 คืน

ทุกอย่างดูราบรื่นเป็นไปตามแผนในการแข่งกับเวลา เราเริ่มเดินทางเข้าโตเกียวกันแล้ว แต่ยังมีเรื่องตื่นเต้นรออยู่ ตอนหน้ามาต่อครับ

บันทึกการเดินทาง – JapanFirstTime Part.2 : วางแผนการเดินทาง

FB_IMG_1533263837418.jpg

ตอนนี้พูดเรื่องการเดินทางไปญี่ปุ่นวันแรกที่เราวางแผนจะไปฟูจิพร้อมกันทั้ง 32 คนครับ

สายการบิน

หลังจากเราตัดสินใจแล้วว่าจะไปญี่ปุ่น เราก็เริ่มดำเนินการจองตั๋วเครื่องบินก่อน โดยเราจองล่วงหน้ากันตั้งแต่เดือนมกราคม เลือกเดินทางด้วยสายการบิน Japan Airline (JAL) ซึ่งเวลาเดินทางค่อนข้างลงตัว เที่ยวบินออกจากสุวรรณภูมิเวลา 23.30 น. และถึงที่สนามบินนาริตะเวลา 7.45 น. ในที่นี้เราได้เลือกที่นั่งไว้ก่อน และสามารถโหลดกระเป๋าได้ 2 ใบ ใบละไม่เกิน 23 กก.

1533141615871
เที่ยวบินขาเข้าญี่ปุ่น เลือกที่นั่งฝั่งซ้ายจะเห็นภูเขาไฟฟูจิขึ้นมาทักทาย

รถไฟด่วน Keisei Skyliner และ Tokyo Metro Pass 72 hours

สำหรับการเดินทางจากสนามบินสู่เมือง เราจองตั๋วรถไฟสายด่วย Keisei Skyliner วิ่งตรงจากสนามบินเข้ามาที่สถานี Ueno ใช้เวลา 39 นาที (รูปประกอบจาก www.keisei.co.jp)

นอกจากจะจองตั๋วรถไฟเข้าเมืองแล้ว ด้วยโปรแกรมเที่ยวส่วนใหญ่ของเราจะอยู่ในโตเกียว ดังนั้นเราจึงซื้อ Pass ของ Tokyo Metro อายุ 72 ชม. ไว้สำหรับเดินทางเข้าออกรถไฟใต้ดินไม่จำกัดจำนวนครั้ง ตั๋วทั้งหมดจองไปจากไทยและไปรับตั๋วที่เคาเตอร์ในสนามบินครับ

1533231114947.jpg
หน้าตาของ 72 hours Pass สีเขียวครับ

รถบัสไปฟูจิ Expressway Bus

ด้วยจำนวนสมาชิกที่มากถึง 32 คนทำให้การไปซื้อตั๋วข้างหน้าน่าจะสร้างความสับสนและใช้เวลามาก ดังนั้นเราจึงต้องจองตั๋วรถและเวลาเดินทางไปจากไทยเช่นกัน โดยรถบัสสายนี้เราขึ้นที่ท่ารถตรง Shinjuku (Shinjuku Expressway Bus Terminal) เวลา 11.45 น. และจะไปถึงสถานีที่ Kawagichiko เวลา 13.37 น.

การจองดูจะเรียบร้อยและราบรื่น แต่ถึงเวลาจริงแล้วเราต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งด้านเวลาและกระบวนการต่างๆ จนถึงขั้นต้องมีการซักซ้อมทำความเข้าใจร่วมกัน เดี๋ยวตอนหน้าจะมาเล่าให้ฟังต่อครับ