Cannibalization

video-game-1332694_1280.png

Cannibalization คือผลกระทบในทางลบที่เกิดขึ้นต่อยอดขายของผลิตภัณฑ์สินค้าใดๆเมื่อมีการออกผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่หรือผลกระทบที่มีต่อยอดขายโดยรวมของบริษัทเมื่อมีการขยายสาขาใหม่ เนื่องจากยอดขายของสินค้าใหม่หรือของสาขาใหม่นั้นไป ‘กิน’ ส่วนแบ่งจากผลิตภัณฑ์หรือยอดขายของสาขาเดิม

Cannibalization ในชีวิตประจำวัน

วันนี้มีตัวอย่างกรณียอดขายของสินค้าใหม่ไปลดความน่าสนใจหรือความต้องการของสินค้าเดิมในชีวิตประจำวัน

ที่ออฟฟิศของเราที่หลักทรัพย์ไทย เดอะไนน์ พระราม9 จะมีสาวยาคูลท์แวะมาสัปดาห์ละ 1 วันครับ อาจจะเป็นวันพุธหรือพฤหัสฯ

ทุกครั้งที่สาวยาคูลท์  (จริงๆคือคุณป้า) แวะมาก็มักจะได้ยอดขายกลับไปไม่มากก็น้อย พวกเราในออฟฟิศ 20 คนสลับกันสั่งยาคูลท์ 3 ขวดบ้าง 5 ขวดบ้าง มากที่สุด 12-14 ขวดก็มี รวมแล้วเป็นจำนวนกว่า 40-50 ขวด

เราก็ซื้อกันทุกสัปดาห์อยู่เป็นช่วงเวลาหนึ่งจนคุณป้าท่านนั้นไม่ได้แวะมา 2-3 สัปดาห์

ได้ข่าวว่าแกขายจนได้รางวัลไปเที่ยวญี่ปุ่น (ขนาดนั้น…)

หลังจากนั้นก็มีสาวยาคูลท์ (อันนี้สาวจริง) กลับมาให้บริการเราต่อ เราก็ยังซื้ออย่างต่อเนื่อง

จนกระทั่งเมื่อกลางปีที่ผ่านมายาคูลท์ออกผลิตภัณฑ์ใหม่คือยาคูลท์ไลท์ (Yakult light) 

ความพิเศษคือมีน้ำตาลน้อย ราคาขายคือ 8 บาท เทียบกับสูตรปกติ 7 บาท

เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในการสั่งซื้อยาคูลท์ของพวดเราคือหลายคนจะรอสั่งเฉพาะสูตรไลท์เท่านั้น

ประเด็นก็คือสูตรไลท์ไม่ค่อยมีของมาถึงพวกเราสักเท่าไร ดังนั้นก็จะสั่งได้แค่ 7-10 ขวด

ผลกระทบที่เกิดขึ้นคือถ้าไม่มีสูตรไลท์ก็ไม่สั่ง แล้วก็ไม่ซื้อสูตรธรรมดาด้วย!!!

นี่อาจจะเป็นตัวอย่างหนึ่งของกรณียอดขายของสินค้าใหม่ไปลดความน่าสนใจหรือความต้องการของสินค้าเดิม…

(กรณีนี้ผมดูแต่ในออฟฟิศผมก็ไม่แน่ว่าภาพรวมยอดขายอาจจะสูงขึ้นก็ได้แต่พอดีสูตรไลท์มาไม่ถึงออฟฟิศเรา แต่ถ้ามีของติดมาเยอะๆก็เชื่อว่าจะขายดีขึ้น)

Cannibalization กับสินค้าใกล้ตัว

อีกกรณีซึ่งมีผู้วิเคราะห์ไว้น่าสนใจคือผลิตภัณฑ์ของ Etude และ Skinfood ซึ่งเป็นเครื่องสำอางค์ของเกาหลีซึ่งแต่ก่อนถ้าเราอยากจะซื้อใช้เราก็ต้องบินไปซื้อถึงเกาหลี และพวกเราคนไทยก็ซื้อฝากกันล้นหลาม

สุดท้ายทั้งสองแบรนด์มาเปิดสาขาที่เมืองไทย สิ่งที่เกิดขึ้นคือสาขาที่เมืองไทยก็ไม่ซื้อ พอบินไปเกาหลีก็ไม่ซื้อ (หรือสนใจซื้อน้อยลง)

ทำให้นึกถึงสินค้าของ 2 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์คือบิวตี้ (BEAUTY) ซึ่งจัดจำหน่ายเครื่องสำอางค์เช่นกันและเถ้าแก่น้อย (TKN) ซึ่งเรารู้จักกันดีในว่าขายสาหร่าย และทั้งสองบริษัทได้ประโยชน์มากจากการเข้ามาท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีนและซื้อกลับไป จนสุดท้ายทั้งสองบริษัทตัดสินใจขยายตลาดเข้าไปในประเทศจีน

ความน่าสนใจของการบินมาซื้อที่เมืองไทยย่อมลดลง ส่วนการเพิ่มยอดขายในเมืองจีนก็ต้องแข่งขันเช่นกัน…

Advertisement

4การขายที่น่าสนใจ

pexels-photo-581339

ช่วงที่ผ่านได้มีโอกาสเห็นรูปแบบการขายที่น่าสนใจ ขออนุญาตนำมาเล่าให้ฟังครับ

1) วันนี้ได้มีโอกาสคุยกับน้องที่ทำงานเล่าให้ฟังถึงแบรนด์กระเป๋าชื่อว่า FREITAG จุดเด่นคือสินค้าผลิตจากวัตถุดิบผ้าใบคลุมรถบรรทุกมารีไซเคิลทำให้กระเป๋าแต่ละใบมีความเฉพาะตัว เป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำกัน

แม้ผมจะเพิ่งเคยรู้จักแต่จริงๆแบรนด์นี้มีขายในเมืองไทยมากกว่า 5 ปีแล้ว มีสาขาที่กรุงเทพฯและเชียงใหม่

ตอนที่น้องเล่าและเปิดรูปร้านให้ดูก็พบความน่าสนใจของรูปแบบชั้นวางซึ่งเป็นกล่องลักษณะลิ้นชักซ้อนๆกัน แต่ละกล่องใส่กระเป๋าเอาไว้และมีรูปตัวอย่างให้ดูด้านหน้า ถ้าใบไหนขายแล้วก็เอากล่องใหม่มาเสียบแทน

การทำแบบนี้น่าจะตอบโจทย์หลายอย่าง นอกเหนือจากความสวยงามแล้ว เนื่องจากกระเป๋าแต่ละใบมีความแตกต่างกัน การมีสินค้าตัวโชว์อาจให้รายละเอียดไม่พอ การมีรูปตัวอย่างช่วยให้เลือกได้ง่ายขึ้น และการใส่กล่องเป็นชั้นๆก็ช่วยให้เรียบร้อยและหยิบดูสะดวก

f-store-bangkok-by-pronto-v30wall-rgb-banner (1)
www.freitag.ch/en/freitagbyprontobkk

2) เมื่อวานไปกินมื้อพิเศษในวันวาเลนไทน์กับภรรยาครับ กินข้าวเสร็จแล้วก็ต้องปิดด้วยของหวาน เลยไปกินไอศกรีมโยเกิร์ตที่ร้าน Yogurtland ครับ

ร้านนี้เคยไปกินมาบ่อยแล้วครับ เมนูจะเป็นไอศกรีมโยเกิร์ตรสชาติต่างๆ สามารถเติม topping ได้หลากหลายทั้งผลไม้ ขนมหวาน และของกรุบกรอบ

สิ่งที่รู้สึกว่าแตกต่างคือรูปแบบการจ่ายเงินครับ ร้านนี้เขาจะคิดเงินเราตามน้ำหนัก อย่างล่าสุดที่ไปกินคือ 100 กร้ม/80 บาท ซึ่งถ้วยหนึ่งก็จะอยู่ราวๆ 250 กรัมครับ (มีถ้วย 2 ขนาดแล้วแต่เราจะเลือก)

การคิดเงินตามน้ำหนักช่วยให้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้นนะครับจะกินมากกินน้อยก็แล้วแต่ตามใจ ทางร้านก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเสิร์ฟสินค้าที่น้ำหนักไม่ได้มาตรฐาน ส่วนพนักงานก็ไม่ต้องใช้จำนวนมากด้วยครับ

FB_IMG_1550251623202.jpg
รูปภาพจาก Facebook Page : Yogurtland Thailand

3) ล่าสุดวันนี้ได้มีโอกาสเห็น share จาก facebook ของคุณ Palmy ศิลปินชื่อดัง โพสภาพเนื้อเพลงให้แฟนเพลงได้นำไปเล่นกันโดยที่ยังไม่ได้เปิดตัวเพลงออกมา ก็ถือเป็นแนวทางแปลกใหม่น่าสนใจเพราะปกติต้องมีเพลงออกมาให้ฟังก่อนเราถึงจะไปแกะเนื้อเล่นตามกันครับ เรียกเสียงฮือฮาในโลก social ได้มากทีเดียว ตามลิงค์กันไปได้เลยครับ

4) สุดท้ายอยู่ที่ตั้งออฟฟิศผมคือที่ The Nine พระราม9 ย้ายมาทำที่สาขานี้ได้สองปีกว่าแล้วที่สังเกตคือไม่มีแผงลอตเตอรี่ขาย จะมีก็แต่คนขายขี่จักรยานพร้อมแผงผ่านไปมาครับ

ล่าสุดเมื่อเดือนที่ผ่านมามีแผงมาตั้งขายลอตเตอรี่แล้วครับและคนให้ความสนใจเยอะด้วย แม้ว่าผมจะไม่ได้ไปเลือกซื้อกับเขาแต่เห็นว่ารูปแบบการขายของแผงนี้น่าสนใจ

คือเขาจะไม่ได้เปิดขายทุกวันครับ จะมาขายเฉพาะวันที่ 9-16 และ 24-30/31 (ถ้าจำผิดขออภัยครับ) นอกจากจะตอบโจทย์คนในพื้นที่ที่ไม่มีให้เลือกซื้อแล้ว การมาขายเฉพาะบางช่วงก็ช่วยให้มีเวลาไปทำอย่างอื่นด้วย เพราะอันที่จริงแล้วพฤติกรรมของผู้ซื้อส่วนใหญ่ก็มาซื้อเอาวันท้ายๆทั้งนั้น

ประมาณนี้ครับสำหรับวันนี้ สี่รูปแบบการขายที่น่าสนใจเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคนครับ

Happy Day

pexels-photo-842682.jpeg

เต็มไปด้วยความชื่นมื่นสำหรับวันที่ 14 กุมภาฯ วันวาเลนไทน์ ทั้งส่วนตัวผมเองกับภรรยาที่ได้มอบดอกไม้ให้กันและมีมื้อพิเศษ รวมถึงเพื่อนๆ คนรอบข้าง และในสื่อ social ที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความรัก

และนี่คือข้อคิดที่ได้จากวันนี้ครับ

  1. ความพิเศษขึ้นอยู่กับเราเลือก แน่นอนวันนี้เป็นวันพิเศษแต่บรรยากาศและความสัมพันธ์ของเราจะพิเศษหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับเรา ถ้าเราไม่ให้ความสำคัญ มันก็จะเหมือนวันอื่นๆ แต่ถ้าเราให้ความสำคัญ วันนี้ก็จะพิเศษขึ้นมา ถ้าวันนี้ยังเฉยชาเหมือนเดิม วันนี้ยังเอาแต่ใจ วันนี้ยังไม่เสียสละ หรือไม่สร้างสรรค์อะไรขึ้นมา ทุกอย่างก็เหมือนเดิมครับ
  2. แต่ความพิเศษก็ไม่จำเป็นต้องมาก เพราะถ้าเราเลือกจะทำแล้วเราทำเท่าที่ได้ สิ่งอื่นก็ไม่ใช่อุปสรรค ผมเห็นหลายคนก็ไม่ต้องกินร้านหรูจัดเต็มแต่ก็มีบรรยากาศพิเศษได้ ดอกไม้ช่อเล็กบ้างใหญ่บ้างแต่ก็มี ไม่มีดอกไม้ก็ซื้อของขวัญให้กัน บางคนวันนี้ไม่สะดวกจริงก็เห็นว่ายังตั้งใจจะไปทำในวันอื่น เช่นไปกินมื้อพิเศษหรือไปต่างจังหวัดในวันสุดสัปดาห์นี้เป็นต้น อะไรก็ได้ แม้กระทั่งคำพูดและข้อความที่สื่อสารว่าเรายังให้ความสำคัญแก่กันและกัน

สรุปคือทั้งสองข้อเอาไปปรับใช้กับทุกวันในความสัมพันธ์ของเราได้ทั้งหมด เพราะในเมื่อความพิเศษขึ้นอยู่กับเราเลือกไม่ได้อยู่ที่วัน ฉะนั้นวันไหนก็ทำได้ ในขณะที่ความพิเศษก็ไม่จำเป็นต้องมากเว่อร์ พรุ่งนี้ก็ทำได้อีก สัปดาห์หน้าก็ยังทำได้อีก เดือนหน้าด้วย…

ขอให้ทุกคนมั่นคงและชื่นบานในความรักครับ

ทำสิ่งใหม่

network-782707_1280.png

วันนี้ผมได้ลองทำสิ่งใหม่อีกอย่างหนึ่งครับซึ่งไม่เคยคิดว่าจะทำมาก่อน แต่พอวันนี้บทจะทำ นั่งอยู่หน้าคอมฯก็ทำเลยคือ

สมัคร free online course ครับ…

โดย search ไปเจอของ Stanford University

สิ่งที่เลือกเรียนคือ Machine Learning!!!

ด้วยว่ามีความสนใจแล้วก็อยากจะรู้ว่าจากคนที่มีพื้นฐานเป็นศูนย์แบบเรา จะสามารถเรียนรู้เรื่องของ computer ไปได้ขนาดไหน

และเชื่อว่าถ้าเรียนรู้เรื่องก็จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์และก้าวทันโลกที่เปลี่ยนแปลงด้วยครับ

ซึ่งดูแล้วต้องใช้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์และสถิติมากเลยครับ จะไหวไหมต้องลองดู

แต่สิ่งใหม่ที่ได้ทำวันนี้ ที่เกิดขึ้นได้ ผมเชื่อว่าเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงส่วนตัวในช่วงที่ผ่านมาครับ

นั่นคือการเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆนั่นเอง

1)ตั้งแต่ต้นเดือน ก.พ. ผมเริ่มใช้ Google Calendar และประกอบกับเทคนิค Time Boxing ทำให้ชีวิตมีแบบแผนมากขึ้น และทำให้สามารถจัดการชีวิตได้ว่า เราอยากจะทำหรือต้องทำอะไรเพิ่มอีก

2)ตั้งแต่ต้นปี ผมตั้งเป้าอ่านหนังสือและเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยการพกหนังสือไปในทุกที่จนทำให้อ่านหนังสือจบได้เร็วกว่าที่คาด และการอ่านหนังสือก็ทำให้ชีวิตเราอยู่ในบรรยากาศของการเรียนรู้มากขึ้นครับ

3)ช่วงหลังมานี้เปลี่ยนพฤติกรรมมาฟัง Podcast แทนการฟังเพลงในช่วงขับรถ รวมถึงฟังในช่วงเวลาว่างอื่นๆด้วย ทำให้ได้รับอิทธิพลที่ดี โดยเฉพาะการก้าวทันโลกและการริเริ่มทำสิ่งใหม่ๆครับ

Podcast ที่ฟังบ่อยได้แก่ Nopadol’s Story ของ ศ.ดร.นภดล ร่มโพธิ์ และ Mission to the Moon ของคุณรวิศ หาญอุตสาหะครับ

4)ออกกำลังกายตอนเช้า ซึ่งเพิ่งเริ่มทำเมื่อเดือน ก.พ. นี้เช่นกัน และตั้งเป้าหมายไว้เพียง 3 วันต่อสัปดาห์ และวันละ 15 นาทีเท่านั้น ซึ่งเหมือนจะไม่เกี่ยวแต่ส่วนตัวคิดว่าเกี่ยวเพราะการทำบางอย่างสำเร็จช่วยผลักดันให้เราสามารถเดินหน้าพิชิตสิ่งอื่นๆได้ โดยเฉพาะความสำเร็จนี้เกิดขึ้นในเวลาเช้า (ซึ่งส่งผลต่อการตื่นเช้าและการไปทำงานทันเวลาด้วยครับ)

สรุปตรงนี้คือวันนี้ผมได้เข้าใจและมีประสบการณ์กับการก้าวออกจาก comfort zone แล้วมาทำอะไรใหม่ๆ

แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆแต่ก็ช่วยสร้างลักษณะนิสัยให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น เรียนรู้มากขึ้น ริเริ่มทำสิ่งใหม่ๆมากขึ้น ช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายได้มากขึ้น และทำให้ภาคภูมิใจด้วยครับ

 

Exercise!

วันนี้เป็นวันแรกของปีนี้ที่ได้มีโอกาสออกกำลังกายที่บ้านครับ จากเป้าหมายปีนี้ว่าจะออกกำลังกายอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ (ตั้งแต่ต้นปียังไม่เคยสำเร็จเลยครับ) มาถึงสัปดาห์นี้จึงใส่ตารางว่าจะออกกำลังระหว่าง 6.00-6.15 น. แค่ 15 นาทีเท่านั้น ซึ่งวันจันทร์ที่ผ่านมาก็เหลวไปเป็นที่เรียบร้อย มาสำเร็จวันนี้ครับ ใน 15 นาทีที่ออกกำลังกายก็ใช้คลิปที่โพสนี้เป็นเครื่องมือในการออกกำลังกาย ง่ายและช่วยได้เยอะครับ

และนี่คือข้อคิดที่ได้…

  1. การตั้งเป้าหมายนั้นสำคัญ โดยเรื่องนี้ได้เขียนไว้เป็นเป้าหมายของปี
  2. การลงตารางช่วยให้มีโอกาสเป็นจริงมาขึ้น เพราะถือเป็นการให้ commitment กับตัวเอง
  3. ตื่นนอนแล้วต้องลุกทันทีห้ามนอนต่อหรือคิดลังเล ไม่อย่างนั้นจะเหลวแบบเมื่อวาน
  4. 2 minutes rule คือตั้งใจจะออกอย่างน้อย 2 นาที เมื่อเริ่มทำแล้วก็ทำได้จนจบ 15 นาทีครับ ยากตอนเริ่ม
  5. นอกจากจะได้ออกกำลังกายแล้ววันนี้ยังสามารถทำเป้าหมายอื่นได้สำเร็จด้วยในตอนเช้า คือ ตื่นเช้า ออกกำลัง อ่านหนังสือและเขียน blog (wow!!!)
  6. สิ่งที่ได้ด้วยคือความภาคภูมิใจ และตั้งเป้าว่าพรุ่งนี้จะรักษา momentum ด้วยการทำต่อครับ

My January

planner-3820633_1280.jpg

ผ่านปี 2019 มาเกือบ 1 เดือนแล้ว ขอมาอัพเดทเป้าหมายและสิ่งที่ได้ทำครับ

  • ภูมิใจที่สุดคือตั้งเป้าอ่านหนังสือปีนี้ 12 เล่ม ตอนนี้อ่านจบไป 4 เล่มแล้วครับ ร้อนแรงมาก
  • ภูมิใจรองลงมาคือเริ่มโปะคอนโดแล้ว แม้ตัวเลขไม่มากก็ถือว่าได้เริ่มต้นครับ
  • เริ่มลงทุนในกองทุนหุ้นแล้วเช่นกัน แต่ยังไม่ลงในหุ้นรายตัว
  • ความตั้งใจจะไม่นำงานนอกมาทำในที่ทำงาน ปรากฎว่ามีหลุดไป 1 วันครับจัดเวลาพลาดจึงต้องหยิบมาทำ
  • โทรหาลูกค้าต่อวันก็ได้ตามเป้า
  • โทรหาพ่อแม่ก็ทำด้วยความตั้งใจมากขึ้นครับ
  • นัดประชุมทีมก็เดินหน้าทำอย่างสม่ำเสมอ
  • ส่วนตัวเริ่มมีการวางแผนงานรายวัน-รายสัปดาห์ เริ่มใช้ Google Calendar ครับ
  • เขียน blog ตั้งใจเขียนวันละ 1 ตอน สรุปตอนนี้ได้ 15 ตอนก็ครึ่งๆครับ
  • เล่นโทรศัพท์ก็ยังเยอะเหมือนเดิม แต่มีความตั้งใจหลีกเลี่ยงมากขึ้นกว่าเก่า
  • ออกกำลังกายไม่ได้ออกเลยครับ แถมมีป่วยอีกต่างหาก
  • ส่วนการตื่นก็ยังมีหลุดสายบ้างครับ แต่เชื่อว่าจะดีขึ้น

ก็ประมาณนี้ครับสำหรับเดือนแรกของปี 2019 เชื่อว่าทุกคนยังคงมีไฟที่จะทำตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อยู่นะครับ และขอให้ทำสำเร็จครับ

 

แนะนำหนังสือ

 

อันที่จริงไม่ได้แนะนำอะไรมากครับเพียงอยากจะ update เป้าหมายปี 2019 นี้ที่ผมตั้งใจจะอ่านหนังสือให้ได้ทั้งหมด 12 เล่ม

ผ่านปีใหม่มาได้ 14 วันปรากฏว่าผมอ่านหนังสือจบไป 2 เล่มแล้วครับ และกำลังอ่านเล่มที่สาม (ดูเหมือนว่าผมจะกลายเป็นนักอ่านไปแล้ว หึหึหึ)

และนี่คือหนังสือ 3 เล่มที่ผ่านมือผมในปีนี้ครับ

  1. Eat That Frog! กินกบตัวนั้นซะ! เขียนโดย Brain Tracy เป็นหนังสือแนะนำเกี่ยวกับ 21 วิธีในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและลดการผัดวันประกันพรุ่ง ทำให้เราบรรลุเป้าหมายและประสบความสำเร็จในการทำงานมากขึ้น อันนี้ซื้อมาอ่านช่วงปีใหม่แล้วก็ช่วยในการเริ่มต้นทำงานช่วงต้นปีพอดีครับ
  2. ‘เพราะฉะนั้น ฉันจึงถาม’ ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจลำดับที่ 30 เขียนโดย หนุ่มเมืองจันท์ เล่มนี้ยืมมาจากเพื่อนร่วมงาน อ่านสองวันจบครับ เป็นเรื่องราวเกร็ดธุรกิจและชีวิต เรียบเรียงโดยคุณหนุ่มเมืองจันท์ผ่านคำถามและการแลกเปลี่ยนกับบุคคลในแวดวงต่างๆ
  3. The Disruptor เขียนโดย คุณรวิศ หาญอุตสาหะ พูดถึงการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ แนวคิด วิธีการทำงาน โดยตั้งโจทย์ว่าอนาคตนั้นมีสองทางอยู่ที่ว่าเราจะเปลี่ยนตัวเอง หรือจะรอจนถูกบังคับให้เปลี่ยน ซึ่งเล่มนี้ยังอ่านไม่จบครับ แต่ที่สนใจเพราะว่าอุตสาหกรรมที่ผมทำงานอยู่นั้นมีโอกาสถูก ‘disrupt’ มากๆเชื่อว่าน่าจะเป็นประโยชน์ครับ

ถือโอกาส review เป้าหมายส่วนตัวให้ดูสั้นๆ และแนะนำหนังสือ ถ้ามีโอกาสจะมา review รายละเอียดแต่ละเล่มเพิ่มเติมครับ

ภูมิใจในงานยาก

business-2879460_1280.jpg ช่วงนี้ผมได้รับความรับผิดชอบใหม่อย่างหนึ่งที่ใหญ่และค่อนข้างยาก ซึ่งในด้านของอารมณ์แล้วจะว่าไม่เครียดก็ได้ แต่จริงๆก็เครียดอยู่ เพราะความซับซ้อนและความยากของงานนั้น

คิดทบทวนมานานแล้วคิดอยู่เสมอๆว่าทำไมถึงเป็นเรา คืองานนี้ยังมีคนอื่นที่น่าจะทำได้ดี

ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด เริ่มทำก็ยิ่งยาก อยากจะยกภาระนี้ให้คนอื่น

ทำไมต้องเป็นเรา…?

จนมาถึงจุดหนึ่งที่ได้คำตอบ

ก็ที่เราได้รับงานยากๆ ก็เพราะมีเรานั่นแหละที่ทำได้

เพราะมันยาก แต่เรารับมือได้ ดังนั้นจึงเป็นเรานั่นเอง

ให้เราภาคภูมิใจและเดินหน้าต่อไปด้วยใจยินดี

Productivity

calendar-1763587__480

ว่าด้วยเรื่องของ productivity ครับ

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาผมตั้งใจจะทำงานชิ้นหนึ่ง ซึ่งวางแผนไว้ว่าน่าจะได้ทำช่วงบ่ายๆ

เอาเข้าจริงมีโปรแกรมแทรกเพียบเลยครับ ทั้งมีคนชวนไปเตะบอล แวะไปเยี่ยมคนป่วย แล้วก็ไปกินข้าว กลับมาที่คอนโดยังเผลอหลับอีก

รู้สึกกระวนกระวายมากครับเพราะทั้งวันไม่ได้แตะงานที่ตั้งใจเลย เห็นทีว่าถ้าปล่อยไว้คงรู้สึกไม่ดีแน่

จึงขอภรรยาทำงานสักแป๊บหนึ่ง จนได้ทำไปราวหนึ่งชั่วโมงครับ

พอได้ทำก็หายกระวนกระวาย รู้สึกว่าวันนี้ได้งานละ แม้จะไม่มากก็ตาม


วันอาทิตย์ผมไปที่โบสถ์ตามปกติครับ แต่ที่เพิ่มเติมวันนนี้มีโปรแกรมมอบใบประกาศฯให้พี่น้องที่จบชั้นเรียนของที่โบสถ์ ซึ่งมีรอบเช้าและรอบบ่ายซึ่งผมมีโปรแกรมต้องรับผิดชอบช่วยงานนี้ครับ

สรุปก็ได้ทำตามโปรแกรมอย่างเต็มที่เลยครับ เช้าจรดบ่าย พอจบแล้วยังมีโปรแกรมอื่นแทรกอีก

productive สุดๆไปทั้งวัน

จบด้วยการไปกินข้าวกับครอบครัว

กลับมาถึงบ้านถึงกับต้องไปเดินพักผ่อนกับภรรยา

หลังจากขึ้นห้องมาแทบไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยครับ นอน เล่นมือถือ นอน คุย เล่นมือถือ…

สองวันอย่างกับหนังคนละม้วน

ก็จบเรื่อง productivity ประจำวันหยุดนี้ประมาณนี้ครับ

ร้านตัดผม

barber2

ขอแบ่งปันประสบการณ์การตัดผมครั้งล่าสุดเผื่อจะมีข้อคิดอะไรบางอย่างครับ

ผมตัดผมที่ร้านประจำร้านหนึ่ง ซึ่งเพิ่งเปลี่ยนมาตัดร้านนี้ได้ราวหนึ่งปี

รอบนี้ตัวผมไว้ผมยาวมากเพราะไม่มีเวลาไปตัด เมื่อมีเวลาช่วงวันเสาร์ก่อนปีใหม่จึงแวะไปที่ร้านปรากฎว่าหยุดปีใหม่แล้ว อ่ะ…ไม่เป็นไร ช่วงวันหยุดปีใหม่พอดี

ระยะเวลาช่วงปีใหม่ที่หยุดยาวบวกกับช่วงวันเริ่มต้นทำงานสองวันที่ไม่ได้ตัดผม ทำให้ผมยาวมากขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่ได้ไปตัดร้านอื่นเพราะรอจะตัดร้านประจำ

เมื่อวันศุกร์จึงแวะไปที่ร้าน ก่อนร้านปิดประมาณ 15 นาที ปรากฎว่าร้านปิดแล้ว โดยช่างบอกว่าปิดเร็วจะต้องไปทำธุระ พรุ่งนี้ขอให้มาใหม่ อ่ะ…ไม่เป็นไร เราอาจจะมาช่วงใกล้ร้านปิดเกินไป

วันนี้จึงกลับไปอีกครั้งที่ร้าน โดยไปก่อนร้านปิดประมาณ 2 ชั่วโมง

ปรากฎว่าร้านเปิดครับแต่เข้าไม่ได้ ประตูล๊อก และมีลูกค้ารออยู่หน้าร้าน 3-4 คน

รออยู่ระยะเวลาประมาณหนึ่งมีคนจากในร้าน (ที่ไม่ใช่ช่าง) เดินออกมาบอกว่า ช่างไม่กลับมาแล้ว พรุ่งนี้ขอให้มาใหม่

……

ผมชั่งใจอยู่ว่าพรุ่งนี้จะมาใหม่ดี หรือว่าจะตัดร้านอื่นดี เพราะร้านนี้ก็ร้านประจำตัดถูกใจ และที่หลายคนอาจจะเป็นคือกลัวเปลี่ยนร้านแล้วตัดไม่ดี

……

สรุปผมไปตัดร้านอื่นครับ